แก้ไม่หายจนปิ๋ว! ชปล. ความแตกต่างระหว่างครึ่งแรก-ครึ่งหลังของ แมนยู
แก้ไม่หายจนปิ๋ว! เกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่แพ้ แอร์เบ ไลป์ซิก 2-3 เมื่อวันอังคารที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นการยืนยันอีกครั้งว่าฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีปัญหาเรื่อง “เครื่องร้อนช้า” อย่างมาก เพราะพวกเขาตามหลังไปก่อนถึง 2 ลูกในช่วงแค่ 13 นาทีแรก ก่อนที่จะโดนทิ้งห่างเป็น 3-0 พอเข้าสู่นาทีที่ 69
แม้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะมาได้ 2 ประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม แต่ภารกิจการคัมแบ็กมันยากเกินไปประหนึ่งการเข็นครกขึ้นภูเขาเอเวอเรสต์ ทำให้สุดท้ายแล้วทีมของกุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่ม ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเขาต้องการแค่ผลเสมอเป็นอย่างน้อยก็จะเพียงพอต่อการเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแล้ว
แน่นอน การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เคยพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้ในเกมลีกหลายนัดก่อนหน้านี้ หรือการทำประตูได้เยอะในช่วงครึ่งหลังมันทำให้พวกเขาสมควรได้รับคำชมเรื่องมีสปิริตที่ดีและไม่ยอมแพ้ง่ยๆ แต่อีกมุมหนึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความน่าเป็นห่วงเรื่องการเล่นได้แย่ในช่วงต้นเกมเช่นกัน รวมถึงแสดงให้เห็นว่า โซลชา ยังแก้ปัญหานั้นไม่ได้สักที และวันนี้เราก็มีตัวเลขบางอย่างมาตอกย้ำถึงความแตกต่างระหว่าง 2 ครึ่งของ แมนฯ ยูไนเต็ด กัน
– การทำประตู
19 ลูกจากการลงเล่น 10 นัด คือจำนวนประตูที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ใน พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาลนี้ ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ยิงในลีกได้เยอะที่สุดเป็นอันดับ 8 ซึ่งดูแล้วก็ไม่ใช่ตัวเลขที่แย่อะไรนัก แต่เชื่อหรือไม่ว่าในจำนวน 19 ลูกที่ว่านั้น มันมีเพียง 5 ลูกเท่านั้นที่เกิดขึ้นในครึ่งแรก
ทั้งนี้ มีถึง 6 นัดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงประตูในช่วงครึ่งแรกไม่ได้ หรือถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ยเรื่องจำนวนประตูที่พวกเขาทำได้ในครึ่งแรกแล้วนั้นก็อยู่ที่เพียง 0.50
ลูกต่อเกมเท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับอีก 19 ทีมใน พรีเมียร์ลีก แล้วล่ะก็ มันก็มีอีกแค่ 4 ทีมที่มีค่าเฉลี่ยการยิงได้ในช่วงครึ่งแรกต่ำกว่าพวกเขา ประกอบด้วย นิวคาส
เซิ่ล (0.20), เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (0.27), เบิร์นลี่ย์ (0.30) และ อาร์เซน่อล (0.36)
ในทางกลับกัน แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถทำประตูในช่วงครึ่งหลังได้ถึง 14 ลูก ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ยิงในช่วงครึ่งหลังได้เยอะเป็นอันดับ 3 ของ พรีเมียร์ลีก
ในตอนนี้ เป็นรองเพียง เชลซี (17 ประตู) กับ เลสเตอร์ (15 ลูก) เท้านั้น โดยถ้าลองคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะก็ ทีมของ โซลชา ก็ทำประตูในช่วงครึ่งหลังได้ 73.7
เปอร์เซนต์จากจำนวนประตูในลีกทั้งหมดที่ทำได้เลยทีเดียว
– เกมรับ
หลายคนมองว่านี่ถือจุดอ่อนใหญ่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ควรต้องแก้ไขด้วยการเสริมทัพในช่วงเดือนมกราคมนี้ หลังจากพวกเขาเสียประตูในลีกไปแล้วถึง 17 ประตู
ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีถึง 11 ลูกที่ทีมของ โซลชา โดนยิงใส่ตั้งแต่ครึ่งแรก และนั่นก็ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในทีมที่เสียประตูในช่วงครึ่งแรกมากที่สุดของ
พรีเมียร์ลีก ในตอนนี้ ร่วมกับ ฟูแล่ม, ลีดส์ และ ลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ลงเล่นน้อยกว่าอีก 3 ทีมอยู่ 1 นัด ทำให้ถ้าวัดเป็นค่าเฉลี่ยจริงๆ แล้วนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เป็นทีมที่เสียประตูตั้งแต่ครึ่งแรกสูงที่สุดที่ค่าเฉลี่ยถึง 1.10 ลูกต่อเกม ส่วนของ ฟูแล่ม, ลีดส์ และ ลิเวอร์พูล อยู่ที่ 1.10 ลูกต่อนัด
ทั้งนี้ หลังจากโดนคู่แข่งไล่ถล่มในช่วงครึ่งแรกไปแล้วนั้น เกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จะเพิ่งมาตื่นตัวกันในช่วงครึ่งหลัง เพราะพวกเขาเสียประตูในลีกกับ
การเล่นในช่วง 45 นาทีสุดท้ายไปเพียง 6 ลูก น้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลีกร่วมกับ ลิเวอร์พูล และ เลสเตอร์ มีเพียง เชลซี กับ อาร์เซน่อล ที่โดนยิงในช่วงครึ่ง
หลังน้อยกว่าพวกเขา หลัง 2 ทีมจากกรุงลอนดอนเสียประตูในช่วงครึ่งหลัง 5 ลูกเท่ากัน
– สถานการณ์นำ-ตามหลัง
ด้วยความที่ฟอร์มในครึ่งแรกเล่นกันได้แย่ประหนึ่งเหมือนยังไม่ตื่นนอนกัน ทำให้ในฤดูกาลนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายขึ้นนำคู่แข่งตอนเข้าช่วงพักครึ่งทั้งหมด
เอ่อ 1 ครั้ง โดยนัดที่ว่าคือเกมที่พวกเขาบุกไปชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1
ตรงกันข้าม แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังทั้งหมด 4 ครั้งตอนหมดครึ่งแรก ทำให้ถ้านับตามเปอร์เซ็นต์แล้วนั้นพวกเขาก็เป็นทีมที่ตามหลังคู่แข่ง
ตอนเข้าสู่ช่วงพักครึ่งสูงเป็นอันดับ 1 ร่วมกับ นิวคาสเซิ่ล ที่จำนวน 40 เปอร์เซ็นต์ และทีมของ โซลชา ก็พลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้เพียงแค่ 2 ครั้ง นั่นก็คือ
2 เกมหลังสุดที่ชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-2 และทุบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-1 ส่วน 2 เกมที่แพ้ก็คือนัดพ่าย คริสตัล พาเลซ 1-3 และเกมที่แพ้ สเปอร์ส แบบย่อยยับ
1-6
– คะแนนหากดูเฉพาะแต่ละครึ่ง
ถ้าตัดสินผลการแข่งขันแค่ตอนจบครึ่งแรกแล้วล่ะก็ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จะเก็บได้เพียงแค่ 8 คะแนน จากการลงเล่น 10 นัด แบ่งเป็นชนะ 1 เกม กับเสมอ 5 หน
นั่นทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นอันดับ 19 ถ้านับแค่ตอนจบครึ่งแรก หรือพูดแบบให้เข้าใจง่ายกว่านั้นคือเป็น “รองบ๊วย” โดยทีมเดียวที่จะมีอันดับแย่กว่าพวกเขา
หากนับเฉพาะ 45 นาทีแรกคือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่จะมีเพียง 7 แต้มเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าในห้องแต่งตัวของ แมนฯ ยูไนเต็ด มันถึงมีดีอะไร เพราะถ้าตัดสินผลการแข่งขันด้วยการดูเฉพาะประตูที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังแล้วล่ะก็
แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จะอยู่ที่ 4 ของตารางคะแนนเลยทีเดียว ด้วยผลงาน 19 แต้ม จากการชนะ 6 เกมกับเสมอ 1 นัด โดยที่ 1 จะเป็น เชลซี ที่ทำได้ 23 แต้ม
ตอนนี้มันเป็นโจทย์หนักของ โซลชา ที่ต้องหาทางออกว่าเขาจะต้องทำยังไงถึงจะแก้ปัญหาเครื่องร้อนช้าแบบนี้ได้ ซึ่งเหล่า “เร้ด อาร์มี่” ก็คงหวังว่าอย่าง
น้อยทีมรักของพวกเขาจะเล่นในช่วงครึ่งแรกได้ดีซัก 50 เปอร์เซ็นต์ของครึ่งหลัง เพื่อที่ทีมจะได้มีผลงานดีกว่านี้ และจะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นเหนื่อยจนแทบจะ
เป็นลมไปก่อนที่จะได้เห็นทีมรักพลิกสถานการณ์กลับมาได้